เจาะลึกเบื้องหลัง “จา พนม” กับจุดจบของเรื่อง “องค์บาก3”

เจาะลึกเบื้องหลัง “จา พนม” กับจุดจบของเรื่อง “องค์บาก3”

เจาะลึกเบื้องหลัง “จา พนม” กับจุดจบของเรื่อง “องค์บาก3”
บทสัมภาษณ์เจาะลึก “จา พนม ยีรัมย์” ในบทบาทผู้กำกับภาพยนตร์และนักแสดงนำ และบทสรุป ของหนังไตรภาค “องค์บาก3”

ในภาพยนตร์เรื่ององค์บาก 3 จามีหน้าที่รับผิดชอบอะไรบ้าง
“กับองค์บาก 3 ผมรับหน้าที่ผู้กำกับ,นักแสดงนำ, ออกแบบกำกับฉากแอ็คชั่น และดีไซน์การต่อสู้ คิดเรื่องรวมไปถึงเป็นนักแสดงนำจากภาพยนตร์เรื่อง องค์บากภาค 3 ครับ”

จากองค์บาก 2 มาจนถึงองค์บาก3 คาแรคเตอร์ของเทียน มีพัฒนาการตัวละครแตกต่าง เปลี่ยนแปลงไป จากเดิมอย่างไรบ้าง
“ในภาพยนตร์เรื่ององค์บาก2 คนดูได้สัมผัสถึงคาแรกเตอร์ของเทียนตั้งแต่ตอนเด็กๆ ที่เป็นคนชอบศิลปะ การต่อสู้ ชอบเกี่ยวกับดาบซึ่งมีพ่อเป็นทหาร แม่ทัพที่ถูกส่งตัวมาทำการ เราจะเห็นว่านิสัยและคาแรกเตอร์ ของเทียน เป็นคนที่แข็งแกร่ง ห้าวหาญมีความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว อยากเป็นทหารเหมือนพ่อ ก็เลยใฝ่ฝัน ว่าวันหนึ่งจะเดินตามรอยพ่อให้ได้ มีสัญชาตญาณของนักสู้มันสูบฉีด นั่นคือฝั่งดำ ฝั่งที่มีความเข้มแข็ง ห้าวหาญของท่าน แต่พอมาถึงภาพยนตร์เรื่ององค์บากภาค 3 นี้ คาแรกเตอร์ก็จะมีความนุ่มนวลขึ้น โดยความแตกต่างจากภาค 2 ที่ว่าในภาค 3 จะเห็นด้านที่มีความอ่อนไหว ลึกซึ้งมากขึ้น”

เจาะลึกเบื้องหลัง “จา พนม” กับจุดจบของเรื่อง “องค์บาก3”
หลังจากตอนจบของ “องค์บาก2” เกิดคำถามที่ว่าเรื่องราวจะดำเนินต่อไปเป็นอย่างไร แล้วเกิดอะไรขึ้นกับ “เทียน” หลังจากนั้น
“การดำเนินเรื่องของภาค 3 จะนำพาคนดูไปสัมผัสกับรอยบากที่อยู่ตรงกลางของจิตใจเทียน ซึ่งเปรียบเสมือน ว่าตัวเทียนได้ผ่านการเดินทางที่ต้องไปเจอกับอุปสรรคมากมาย เจอวิถีชีวิตของผู้คนต่างๆ จบจากองค์บาก 2 คนดูได้คิดต่อว่า องค์บาก 3 ชะตากรรมจะเป็นอย่างไร แล้วตัวละครตัวนี้จะเดินไปในทิศทางไหน มันเหมือนเป็นวงล้อที่เป็นชะตากรรมของชีวิตได้หมุนมาเจอ ในภาค 2ได้เจอครูบัว ซึ่งในองค์บาก 3 ก็บวชเป็นพระแล้ว ก็จะให้คำสอนที่เกี่ยวกับพุทธ แล้วก็พราหมณ์ จากในภาค 2 ครูบัวที่ล่วงรู้ ถึงชะตากรรม เทียน ก็เลยสอนศิลปะ นาฏศิลป์ เพื่อขัดเกลาจิตใจให้เกิดความโอนอ่อน แต่ด้วยดวงชะตาของเขาแล้ว พลิกผันจับอาวุธ ก็เลยเกิดความวุ่นวายในชีวิต กลับไปล้างแค้นด้วยใช้อาวุธของตัวเองที่ฝึกฝนมา เพื่อไปทำร้าย พอไปทำร้ายแล้วมันจึงย้อนกลับมาหาตัวเอง องค์บากภาค 3 เลยเป็นเรื่องราวที่เชื่อมต่อกัน ระหว่างชะตาของชีวิตเทียน ที่ไม่ได้มีให้เห็นแค่แอ็คชั่นอย่างเดียว คนดูจะได้เห็นหลากหลายอารมณ์ คือการคิดค้น และพัฒนาการของตัวละครตัวนี้ มีความอ่อนไหว ความลึกซึ้ง มีความรัก ตัวละครของเทียน ในภาค 3 จะมีการพัฒนาการไปสู่บทบาทอีกด้านหนึ่งของตัวละคร ที่มีความอ่อนไหว มีความน่ารักซ่อนอยู่ และมีความละเมียดละไมอ่อนโยนมากขึ้น”

ตัวละครตัวนี้จะมีการพัฒนาไปในรูปแบบไหน
“จะมีการพัฒนาไปอีกสเต็ปนึง ซึ่งเป็นการค้นพบ องค์บากการค้นพบในที่นี้ก็คือการค้นพบสัจธรรมนั่นเอง ก็คือมีแข็ง ก็ต้องมีอ่อน ในองค์บาก 3 คนดูก็จะได้เห็นบทบาท และคาแร็กเตอร์ของเทียนแตกต่าง มีมิติเพิ่มมากขึ้น ภาค 2 จะเป็นสัญชาตญาณดิบของตัวละครตัวนี้ ถ้าเทียบแล้วก็คือฝั่งดำนั่นเอง ส่วนภาค 3 จะเป็นการพัฒนาการที่ให้ตัวละครตัวนี้ดำเนินชีวิตไปสู่จุดเปลี่ยนแปลง ก็จะมีเรื่องของความรักเข้ามา ซึ่งจะมีความผูกพันกับตัวพิม นางเอก และเกี่ยวพันกับอีกตัวละครหนึ่งก็คือไอ้เหม็น ซึ่งเล่นโดย พี่หม่ำ พี่หม่ำเล่นเป็นชายที่ไร้สติ แต่ทำให้ชะตาชีวิตของเทียนกลับพลิกผันได้ คนดูจะได้เห็นว่าตัวละครตัวนี้ มีการพัฒนาเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ และลึกซึ้งมากขึ้นแต่ในขณะเดียวกัน ในเรื่องราวก็ยังมีการตอบโจทย์ที่ว่า ตัวเทียนต้องผจญชะตากรรม อย่างเช่นต้องผจญมาร เขาเรียกว่าการที่เราจะค้นพบอะไร เราก็ต้องเจอมารมาทดสอบ ทำให้ชะตากรรมนี้ไปเจอกับคนเหล่านี้ นั่นก็ศัตรูคู่ปรับอย่างภูติสางกา ที่รับบทโดยเดี่ยว ชูพงษ์ แล้วก็ยังมีผู้ร้ายจากภาค 2 ด้วยนั่นก็คือพระยาราชเสนา นั่นคือพี่ตั้ว ศรัณยู”

เจาะลึกเบื้องหลัง “จา พนม” กับจุดจบของเรื่อง “องค์บาก3”
องค์บาก3 ไม่น่าจะเป็นแค่หนังแอ็คชั่นธรรมดา กลับกันค่อนข้างมีรายละเอียด มีแก่นแท้ ของเรื่องที่ลึกซึ้ง เป็นความตั้งใจที่จะนำเสนอออกมาในลักษณะนี้เลยรึเปล่า
“ผมคิดว่าผมได้ทำหนังเรื่องนี้ มันก็ทำให้เราได้คิดอยู่ตลอดเวลา ได้ทบทวนถึงที่มาที่ไปว่าชะตากรรม หรือการใช้ชีวิต หรือมนุษย์เรา หรือแม้กระทั่งมองตัวละครแต่ละมุม แต่ละด้าน ทำอย่างไรให้ตัวละคร แต่ละตัวโลดแล่นอยู่บนแผ่นฟิล์ม แล้วออกมามีมิติทุกตัวละคร แอ็คชั่นในมุมมองของผมคือ อยากทำอะไรที่ เราออกหมัดออกไปแต่ละหมัดแล้วมันมีความหมาย มีโจทย์อยู่แบบนี้ ก็เลยมานั่งคิดว่าองค์บาก มันเป็นจุด ที่ลงตัวที่สุด คำว่าองค์บากแล้วก็ใส่ศิลปะการต่อสู้ที่แปลกใหม่เข้าไป นั่นก็คือการค้นพบศิลปะใหม ่นั่นก็คือนาฏยุทธ์ ซึ่งเป็นการคิดค้นขึ้นมาระหว่างนาฏศิลป์ รวมกันกับศิลปะการต่อสู้เป็นนาฏยุทธ์ออกมา แล้วทีนี้โจทย์ของเราก็คือการเล่นคิวบู๊ออกไป ไม่ว่าการนำเสนอความรุนแรงออกไป หรือในด้านของความบันเทิง ผมมองถึงว่ามันได้อะไรด้วย ดนดูเข้าไปดูหนังก็จะได้อะไรด้วย”

อะไรเป็นแรงบันดาลใจ ให้เรานำ โขน มานำเสนอออกมาเป็นศิลปะการต่อสู้รูปแบบใหม่
“จริงๆ แล้วภาพยนตร์เรื่ององค์บากภาค 1 เราใช้มวยไทยโบราณที่นำเสนอออกให้คนทั่วโลก และคนไทย ได้เห็น ต้มยำกุ้งก็เป็นมวยคชสาร เป็นมวยทุ่ม ทับ จับ หัก พอมาองค์บากภาค 2 มันเป็นการรวบรวมศิลปะ การต่อสู้มา ไว้ในตัวคนเดียว พอมาภาพยนตร์ที่ 3 มันเป็นโจทย์ ที่เราต้อง ทำการบ้านหนักขึ้น แล้วก็มากขึ้น แล้วก็มามองดูว่า อะไรที่มันแสดงความเป็นไทย ก็ไปนึกถึง คือโดยส่วนตัวแล้วผมชอบโขนนะ แล้วท่าทางของโขน มันดูแล้วถ้านำมาใช้ในการต่อสู้หรือถ้าเราเลือกมองโขนในอีกมุมหนึ่ง คือโขน มันมีหลาย เหลี่ยม ซึ่งผมก็มองอีกมุมหนึ่งว่า เหลี่ยมนี้มันควรจะมาใช้ในด้านการต่อสู้ แล้วก็นำมาใช้ในภาพยนตร์ เพื่อ เผยแพร่ออกไป มันก็คงจะแปลกดี ก็เลยเกิดเป็นแรงบันดาลใจให้กับผม”

กว่าจะสำเร็จออกมาเป็น นาฏยุทธ์ จาใช้เวลาบ่มเพาะในการคิดค้นนานไหม
“5 ปีแล้วครับ กว่าจะบ่มเพาะ จริงๆ ในบรรดาตัวละครของโขน ผมชอบตัวละครอยู่ตัวหนึ่ง จริงๆ มันมีตัวละครอยู่เยอะมากนะครับ ตัวผมชอบหนุมาน อย่างของจีนเขามีมวยลิงใช่ไหมครับ ก็ไปนึกถึง ก็ไปเห็น ไปเปิดดูในตำราของท่ามวยอะไรต่างๆ เขาก็จะมีท่าหนุมานเหยียบกรุงลงกา หนุมานถวายแหวนอะไรพวกนี้ ก็ได้มาศึกษาเรื่อยๆ ก็เลยชอบมากครับ ผมว่าการคิดค้นมันเริ่มตั้งแต่ผม อยู่ที่วิทยาลัยพละศึกษาที่มหาสารคาม เพราะผมชอบตัวละครตัวนี้ ก็คือหนุมาน แล้วก็ได้เก็บรวบรวม มาเรื่อยๆ จนกระทั่งผมได้ฝึกท่าโขนอะไรพวกนี้ ก็ไปเรียนท่าโขนเพิ่มตั้งแต่เรียนวิทยาลัยพละ แต่มาถึงตรงนี้ก็เรียกได้ว่ามันได้จังหวะเหมาะเจาะที่ว่าพอเราเสร็จต้มยำกุ้ง แล้วก็มาทำองค์บากภาค 2 ก็เลยไปหาข้อมูลเพิ่มเติม ก็เป็นเวลา 5 ปีนะครับ”

เจาะลึกเบื้องหลัง “จา พนม” กับจุดจบของเรื่อง “องค์บาก3”
ในหนังหลายๆ เรื่องที่ผ่านๆ มา มักจะมีการพูดกันว่าทำไม จา พนม ไม่ค่อยพูด ชนิดที่ว่านับคำได้
“หลายๆเรื่องที่บอกว่าทำไมจาพนมไม่พูดมั่ง ทำไมอึดอัด แต่เรื่องนี้ก็มีการพูดนะครับ แต่ว่าการที่ผมพูดออกไปมันต้องมีปรัชญา มันให้แง่คิด เพราะว่าตามตัวละครตัวนี้ไม่น่าจะพูดอะไรเยอะ ในหนังเรื่องนี้อยากสื่อไปในภาพ ในเฟรม ที่มุมกล้องของน้ากล้วยที่นำเสนอ ในแววตา ในลักษณะสีหน้าท่าทาง ให้ความรู้สึกตีความหมายไปว่าเพื่ออะไร เพราะอะไร ที่มาที่ไป ไปสู่อะไร ในหนังเรื่องนี้จะนำเสนอภาพ ผมชอบหนังชาลี แชปลิน เขาไม่ได้พูดเลย แต่เขาทำให้คนหัวเราะได้ ก็เหมือนกัน อย่างผมอยากให้ภาพนี้ให้ คนดูรู้ว่าเป็นสีแดง แต่เราบอกด้วยพลังที่มันแดง นี่คือพลังที่มีเลือดเนื้อด้วย ด้วยการแสดงออกมาจากความรู้สึก อยากให้เข้าถึงความรู้สึกข้างในมากกว่า”

กว่าจะได้ดู “องค์บาก3” หลายคนรู้สึกว่าทำไมถึงต้องใช้เวลานานขนาดนั้น
“หลายคนอาจจะบอกว่าทำไมถึงนานจังเลย ผมก็บอกว่าเออมันก็นานเหมือนกันนะ แต่ในมุมของคนทำ คือไม่ได้คิดอะไรตรงนั้นเลย แต่จะทำอย่างไรให้หนังมันออกมามีความปราณีต ทำออกมาแล้วให้มันมีเสน่ห์ มันมีพลังในตัวของมันให้คนดูรู้สึกว่าเออคุ้มค่าในการหยิบเงิน สักบาทสักสตางค์ไปจ่ายค่าตั๋วหนัง ไม่ใช่ว่าต้องคิดแล้วคิดอีก โอเคเชื่อมั่นได้เลยครับว่าผมไปดูหนังแล้ว ผมได้อะไรแน่นอนเลยครับ ได้อะไรอย่างน้อยก็แอ็คชั่น ได้อะไรอย่างน้อยก็ความบันเทิง ยังมีสิ่งอะไรที่มันได้อะไรอีกมากมาย”

กับภาพยนตร์แอ็คชั่นพีเรียดอย่าง “องค์บาก3” ถามจริงๆว่ายากมากขนาดไหน
“ยากกก (ลากเสียงยาว) เพราะว่ามันยากเป็นดับเบิ้ล เพราะองค์บาก2 มาจนถึงองค์บาก3 เราพยายามที่จะทำอะไรที่มันใหม่ หรืออีกอย่างหนึ่งคือไม่ทำองค์บาก3 แล้ว ไม่ทำต่อแล้ว มันจบแล้ว มันปิดฉากตรงปิดรอยองค์บากแล้ว ต่อไปก็ทำหนังเรื่องอื่นแล้ว ทำหนังตลก ทำหนังรักอะไรไป เพราะนั่นคือโจทย์ที่มันโอ้โห้…ยาก แต่ผมมองว่ามันเป็นสิ่งที่ท้าทายนะ มีความสุข โอ้โห คือถ้าทำอะไรที่มันง่าย มันก็ง่ายนะ มันยากในที่นี้มันทำให้เราได้คิด กระตือรือร้น ทำให้เราได้ไขว่คว้า ได้ต่อสู้ ผมมองว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นบันไดที่ก้าวไปทีละสเต็ป ก้าวๆขึ้นไป ทำให้ภูมิคุ้มกันของเรา ร่างกายของเราแข็งแกร่งขึ้น และอีกอย่างหนึ่งผมบอกได้เลยว่าการศึกษามันไม่มีที่สิ้นสุด ผมไม่เก่ง ผมชอบที่จะศึกษา ไปคนโน่นบ้างตรงนั้นตรงนี้บ้าง อาจารย์ผมมีเยอะมาก อยู่รอบทิศทางเลย ผมอยากได้อารมณ์ตรงนี้ ผมอยากนำเสนอเกร็ดนั้นบ้างเกร็ดนี้บ้าง เพราะเราถือว่าการเรียนรู้เป็นสิ่งที่ดีต่อเรา เรียนรู้ไปเถอะครับ เรามีโอกาสแล้ว เราได้ทำ ยิ่งเป็นผลบวก เผอิญเราได้ถ่ายทอดสิ่งที่เราได้เรียนรู้มา ได้ถ่ายทอดออกไปในหนัง อย่างครูบาอาจารย์ท่านได้เห็น นี่นะลูกศิษย์เรานะ ภูมิใจ นี่นะเขาหยิบมาจากนี้ ซึ่งเราไปเจอไปกับครูบาอาจารย์ เราไปค้นคว้า แล้วเราได้มานั่งดูหนังที่เราทำ มันมีความรู้สึกว่าเราภูมิใจ”

เจาะลึกเบื้องหลัง “จา พนม” กับจุดจบของเรื่อง “องค์บาก3”
อีกกลุ่มนักแสดงที่มีบทบาทสำคัญกับ “องค์บาก3” มากๆ เลยก็คือ “ช้าง”
“รู้ไหมครับว่าหนังทุกเรื่อง เพราะสิ่งเหล่านี้ผมเกิดมากับช้าง ผมคู่กับช้าง องค์บากภาคแรกผมก็มีช้าง ต้มยำกุ้งผมก็มีช้าง องค์บากภาค2 ผมก็มีช้าง และองค์บากภาค3ผมก็มีช้าง ซึ่งต้องยอมรับเลยว่า ช้างเปรียบได้กับเทวดานะครับที่ไม่ใช่สัตว์ เขาเป็นเพื่อน เขาเป็นมิตรร่วมโลกที่ทำให้เราได้มีแผ่นดิน หรือประเทศไทยมาจนถึงทุกวันนี้ คือถ้าเป็นหนังที่ผมเล่นต้องมีช้างครับไม่มากก็น้อย เพราะว่านั่นเป็นสัญลักษณ์ของเรา นั่นคือเพื่อนของเรา นั่นคือเทวดาของเรา นั่นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเรา คู่บ้านคู่เมือง คู่แผ่นดิน ต้องขอบคุณเขาอย่างมาก และต้องตอบแทนบุญคุณเขา ช้างไทยครับ ที่จริงภ.เรื่ององค์บาก3 ช้างมีหลายเชือกที่มาร่วมแสดงครั้งนี้ แต่ตัวเอกก็มีช้างหนุ่มเสก ซึ่งมีความเฉลียวฉลาดอย่างมาก และบัวบาน แค่ชื่อก็เป็นมงคลแล้ว ทั้งคู่ไม่ว่าจะเป็นช้างหนุ่มเสก ช้างบัวบาน มีความเฉียวฉลาดมากๆให้ทำอะไรเขาก็ทำ เหมือนกับว่าแสนรู้มากๆ เป็นที่น่ายกย่องสรรเสริญถึงช้างไทย ในการตรากตรำทำงานกับกองถ่ายองค์บาก 3 มาโดยตลอด”

จา พนม ฝากทิ้งท้าย ถึงการปิดตำนาน “องค์บาก3”
“สำหรับองค์บาก3 ก็เป็นการปิดตำนานอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ก็อยากเชิญชวนให้ทุกคนมาชมภาพยนตร์ เรื่องนี้ นอกจากจะได้ดูฉากแอ็คชั่นของศิลปะการต่อสู้ที่เรียกว่า นาฏยุทธ์ แล้ว ยังได้ชมความแปลกใหม่ ของหนัง ซึ่งนักแสดงและทีมงานทุกคนได้ทุ่มเทกันอย่างเต็มที่ วันที่ 5 พฤษภาคมนี้ เจอกันแน่นอนครับ”
ที่มา http://movie.mthai.com/movie-news/60910.html

แท็ก: จา-พนม ยีรัมย์, ภาพยนตร์, หนังบู๊, องค์บาก3, โทนี่ จา

รายการบล็อกของฉัน